Final Fantasy VII Rebirth กำลังจะเปิดตัวใน PC และ Epic Games Store อย่างเป็นทางการ
เมื่อ Square Enix ประกาศเกม Final Fantasy VII Rebirth เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นภาคต่อของเกม Final Fantasy VII Remake ที่ได้รับความนิยมและได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์ในปี 2020 การเปิดตัวเกมบนเครื่อง PlayStation 5 เพียงอย่างเดียวถือเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมาก เมื่อภาค Remake เปิดตัวบน PC ไปแล้ว เราจึงรู้สึกว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ภาค Rebirth ก็จะเปิดตัวบน PC ด้วยในที่สุด ทำให้แฟนๆ ได้สานต่อเรื่องราวการต่อสู้ของ Cloud, Aerith และเพื่อนๆ กับ Sephiroth ผมเงิน
ตอนนี้ได้มีประกาศอย่างเป็นทางการแล้ว Square Enix ได้ประกาศใน The Game Awards ว่า Final Fantasy VII Rebirth จะเปิดตัวบน PC ในวันที่ 23 มกราคม ซึ่งหมายความว่าแฟนๆ (ไม่ว่าจะผู้เล่นหน้าใหม่หรือแฟนตัวยงของซีรีส์นี้) จะได้เดินทางต่อไปในเกมที่ดีที่สุดเกมหนึ่งแห่งปี 2024
แล้วทำไมทุกคนถึงพูดถึงเกมภาคที่สองในไตรภาคนี้ และทำไม Rebirth เวอร์ชัน PC ถึงได้พิเศษนักล่ะ เพื่อจะเล่าเรื่องนี้ เราต้องย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์แสนพิเศษของ Final Fantasy VII บน PC ซึ่งเป็นเรื่องน่าประหลาดใจสำหรับเกมที่ขึ้นชื่อว่าเป็นเกมที่ทำให้เกม RPG บนคอนโซลโด่งดังขึ้นมา
การเล่นเกมคอมพิวเตอร์บนคอนโซลของคุณ
ย้อนกลับไปในช่วงต้นยุค 80 Hironobu Sakaguchi ในวัยหนุ่มได้หลงใหลเกม RPG บน PC อย่าง Ultima และ Wizardry เขาได้ใช้ตำแหน่งใหม่ของเขาที่ Square (ก่อนรวมกับ Enix) เพื่อนำเกมแนวนี้มาสู่เกมเมอร์ในห้องนั่งเล่นโดยใช้ฮาร์ดแวร์พลังงานต่ำของเครื่องคอนโซล ผลลัพธ์ที่ได้คือเกม Final Fantasy ภาคแรก ซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของแนวเกม RPG บนคอนโซล (ควบคู่ไปกับ Dragon Quest ของ Yuji Horii และ Phantasy Star ของ Rieko Kodama) ซึ่งหลังจากนั้นก็มีเกมภาคต่อและเกมเลียนแบบที่ประสบความสำเร็จตามมามากมาย
แต่วันที่ 25 มิถุนายน 1998 ก็เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งสำหรับ Final Fantasy นั่นคือวันที่ Final Fantasy (หรือพูดให้ชัดคือ Final Fantasy VII) เปิดตัวบน PC เคียงข้างซีรีส์ที่เป็นแรงบันดาลใจให้สร้างเกมซีรีส์นี้ขึ้นมา
เวอร์ชัน PC (วางจำหน่ายโดย Eidos) ซึ่งสร้างขึ้นจากเวอร์ชันแรกๆ ของ PlayStation ถือเป็นประสบการณ์ที่โดดเด่น เหมือนเป็นเวอร์ชันสนุกๆ ของภาคแรก แต่ก็เป็น Final Fantasy VII เวอร์ชันบน PC ที่ค่อนข้างดีเลยทีเดียว ที่สำคัญกว่านั้นคือนี่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับซีรีส์ Final Fantasy ซึ่งปลีกตัวออกจากคอนโซลที่เดิมทีทำให้ซีรีส์นี้โด่งดัง
แม้ว่าการเปิดตัว Final Fantasy บน PC จะประสบความสำเร็จมากน้อยแตกต่างกันไปตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่เกมใหม่ๆ โดยเฉพาะเกม MMORPG ยอดนิยม Final Fantasy XIV นั้นประสบความสำเร็จอย่างกว้างขวางบน PC ซึ่งช่วยแนะนำซีรีส์นี้ให้กับแฟนๆ กลุ่มใหม่
และในตอนนี้ การเปิดตัว Final Fantasy VII Rebirth บน PC และการเปิดตัว Final Fantasy XVI เวอร์ชัน PC ที่คล้ายๆ กันเมื่อต้นปีนี้ก็ทำให้ Final Fantasy ได้วางรากฐานอย่างมั่นคง (ในที่สุด) ในฐานะซีรีส์ที่เชื่อมโยงการแบ่งแยกระหว่าง PC และคอนโซล ซึ่งมีมานานหลายทศวรรษในเกมแนวนี้
ก่อนเกมเปิดตัว เราได้พูดคุยกับ Naoki Hamaguchi ผู้กำกับ Final Fantasy VII Rebirth ซึ่งเขาปฏิเสธที่จะเลือกตัวละครโปรดระหว่าง Aerith กับ Tifa คำถามซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันในหมู่แฟนๆ มาช้านาน แต่เขาได้เปิดเผยเกี่ยวกับความท้าทายในการทำให้ภาคที่สองของไตรภาคประสบความสำเร็จ ความสัมพันธ์ระหว่างเรื่องราวของ Final Fantasy VII กับชีวิตและความเศร้าโศก และสิ่งที่แฟนๆ คาดหวังได้จากการเปิดตัว Rebirth บน PC
Final Fantasy VII จุติขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
ไม่ใช่การพูดเกินจริงเลยที่จะบอกว่า Final Fantasy VII ภาคแรกนั้นเป็นหนึ่งในวิดีโอเกมที่สำคัญที่สุดตลอดกาล เกมนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ซีรีส์ Final Fantasy โด่งดังไปทั่วโลกเท่านั้น แต่ยังช่วยทำให้เกมแนว RPG บนคอนโซลเป็นที่นิยมอีกด้วย วงการเกมคงจะดูแตกต่างไปมากในปัจจุบัน หากเกมแนวนี้ไม่ได้รับความนิยมในตอนนั้น
ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา แฟนๆ เรียกร้องให้มีการรีเมค Final Fantasy VII บนฮาร์ดแวร์ที่ทรงพลังกว่าเดิม แต่ความสำเร็จอันล้นหลามของภาคแรกก็ทำให้มีแรงกดดันมากมาย ภาครีเมคจะต้องตอบสนองทั้งแฟนๆ กลุ่มเดิม (ที่มีความคาดหวังที่เฉพาะเจาะจง และพวกเขารอคอยมานาน) และแฟนๆ หน้าใหม่ที่อาจจะยังไม่เกิดด้วยซ้ำตอนที่เกมภาคแรกเปิดตัว
แรงกดดันที่พวกเขาต้องเผชิญทำให้ Hamaguchi และทีมงานเข้าใจว่าการสร้าง Final Fantasy VII ภาครีเมคนั้นไม่ใช่แค่การนำต้นฉบับมาทำใหม่โดยตรง แต่เป็นการ "การเกิดใหม่พร้อมกับเสน่ห์ใหม่ๆ ที่ปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมของยุคสมัย" เขากล่าวว่าการทำเช่นนี้จะทำให้พวกเขาสามารถสร้างสมดุลให้กับผู้เล่นทั้งสองกลุ่ม ซึ่งมีประสบการณ์ที่แตกต่างกันอย่างมากได้
Final Fantasy VII Remake วางจำหน่ายบน PlayStation 5 ในปี 2020 (และบน PC ในปีถัดมา) ท่ามกลางเสียงชื่นชมอย่างล้นหลาม ทั้งยังมียอดขายหลายล้านชุด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์อันกล้าหาญของ Hamaguchi ในการสร้างประสบการณ์ที่ (ย้อนแยงของการ) เป็นทั้งภาครีเมคและภาคต่อ
หลังจากความสำเร็จของ Remake ก็คงจะเป็นเรื่องง่ายที่จะสร้างภาคต่อแบบเดิมๆ ยึดตามโครงสร้างที่จำกัดของ Remake และเปลี่ยนโลกอันกว้างใหญ่ของเกมภาคแรกให้เป็นเกมที่ขับเคลื่อนด้วยเรื่องราวมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ทีมของ Hamaguchi ได้สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน ด้วยการสร้างภาคต่อที่ขยายขอบเขตของ Final Fantasy VII Remake อย่างมากด้วยโลกโอเพนเวิลด์ที่สำรวจได้เต็มรูปแบบ ซึ่งเต็มไปด้วยเมืองน้อยใหญ่ ภารกิจ และไอเท็มต่างๆ เพียงพอที่จะทำให้ผู้ชื่นชอบการล่าของนั้นพอใจ
Hamaguchi กล่าวถึงเกมอย่าง Ghost of Tsushima, Horizon Zero Dawn และ The Witcher 3: Wild Hunt ว่าเป็นแรงบันดาลใจของเขา ซึ่งเป็นการอ้างอิงถึงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างเกม RPG ของญี่ปุ่นและตะวันตกที่ย้อนกลับไปถึงซีรีส์ Final Fantasy ในตอนต้น เขาและทีมงานได้ใช้พลังงานอย่างมากในการค้นหาขอบเขตที่เหมาะสมสำหรับโครงสร้างใหม่ที่ทะเยอทะยานของ Rebirth
"ในช่วงปีแรกของโปรเจ็กต์ Rebirth เราได้สร้างต้นแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อกำหนดขนาดของแผนที่โลก" Hamaguchi อธิบาย "แนวคิดหลักเกี่ยวกับ 'ความแคบที่พอเหมาะที่พอจะทำให้รู้สึกกว้างขวาง' เกิดขึ้นมากระบวนการนี้ และเรากำลังมองหาขนาดที่สมบูรณ์แบบที่จะทำให้ผู้เล่นรู้สึกว่าแผนที่โลกนั้นกว้างขวาง แต่ก็สร้างได้ได้จริงจากมุมมองการพัฒนา"
ส่วนสำคัญที่ทำให้ Rebirth ประสบความสำเร็จนั้นต้องยกความดีความชอบให้กับทีมพัฒนา Remake ที่ยังคงทำงานมาอย่างสม่ำเสมอ ทำให้พวกเขามีความคุ้นเคย ไม่เพียงแค่กับเอนจิ้นและเครื่องมือพัฒนาอื่นๆ เท่านั้น แต่ยังมีความคุ้นเคยกับเนื้อเรื่อง โลก และตัวละครต่างๆ ด้วย การขยายขอบเขตของ Rebirth ออกไปให้เกิน Final Fantasy VII ภาคแรกและ Remake นั้นไม่ได้เป็นแค่เรื่องของการสร้างโลกที่ใหญ่ขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อสร้างตัวละครที่มีความน่าเชื่อถือมากขึ้นด้วย
ใน Final Fantasy VII ภาคแรก อารมณ์ของตัวละครจะแสดงออกมาอย่างชัดเจน เช่น การกระโดดขึ้นลงเพื่อแสดงความโกรธและความสุข เราเชื่อว่า Remake และ Rebirth ช่วยให้ผู้เล่นรับรู้อารมณ์ของตัวละครได้สมจริงยิ่งขึ้น ทำให้มีอารมณ์ร่วมกับตัวละครหลักได้ดีกว่าเก่า" Hamaguchi กล่าว
และใครก็ตามที่เคยเล่น Final Fantasy VII ภาคแรกจะยืนยันได้เลยว่าอารมณ์ร่วมและความผูกพันอันใกล้ชิดกับตัวละครมีความสำคัญต่อประสบการณ์การเล่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณไปถึง Temple of the Ancients
ปมของลูกคนกลาง
ในฐานะภาคที่สองของไตรภาค Rebirth ต้องเผชิญกับความท้าทายที่ภาพยนตร์คลาสสิกอย่าง The Empire Strikes Back และ The Lord of the Rings: The Two Towers คุ้นเคยเป็นอย่างดี คุณจะเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจ พร้อมจังหวะที่จำเป็นและผู้เล่นคาดหวังทั้งหมดของเรื่องราวสุดระทึก โดยไม่มีต้นเรื่องและตอนจบที่ชัดเจนได้อย่างไร
"เกมที่สองในไตรภาคนั้นมีความสำคัญมาก" Hamaguchi กล่าว "หากภาคสองทำให้ผู้เล่นสนใจไม่ได้ แฟนๆ ก็จะไม่สนใจภาคสาม เพราะเหตุนี้ ผมเลยเชื่อว่าภาคที่สองมีแนวโน้มที่จะเป็นภาคที่ผู้คนชื่นชอบมากที่สุดในแวดวงสื่อบันเทิงแบบไตรภาคในรูปแบบดิจิทัลที่น่าจดจำ"
Hamaguchi ต้องการสื่ออะไรถึงผู้เล่นจากความคลุมเครือของเนื้อเรื่องใน Final Fantasy VII Rebirth ในฐานะส่วนกลางของเรื่องราวที่ใหญ่โตกว่านั้นมาก บทสนทนา
"ความที่โปรดิวเซอร์ [Yoshinori] Kitase มักจะพูดเกี่ยวกับเกมนี้ก็คือ 'เมื่อ Rebirth เปิดตัว ผมหวังว่าผู้เล่นจะแบ่งปันความคิดเห็นต่างๆ ร่วมกัน จนกว่าเกมภาคที่สามจะออก'" Hamaguchi กล่าว
Kitase สมหวังแน่ๆ
ความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดประการหนึ่งสำหรับภาคกึ่งกลางของไตรภาคคือการสร้างสรรค์ตอนจบที่ทำให้ผู้เล่นพอใจ ที่ยังปล่อยให้มีเนื้อเรื่องเปิดกว้างพอสำหรับภาคที่สาม ซึ่งเป็นภาคสุดท้ายของไตรภาค ไม่น่าแปลกใจเลยที่มีการถกเถียงเกี่ยวกับ Rebirth บนออนไลน์อย่างมากที่เกี่ยวข้องกับตอนจบที่คาดไม่ถึงและเป็นที่ถกเถียงของเกมนี้ เราจะไม่สปอยล์ แต่ใครก็ตามที่เคยเล่น Final Fantasy VII ภาคแรกต่างก็รอคอยช่วงเวลานั้นอยู่ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในจุดหักมุมที่สำคัญและเป็นที่รู้จักมากที่สุดในประวัติศาสตร์วิดีโอเกม แต่วิธีการรับมือของ Rebirth นั้นทำให้ไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน
"นี่เป็นทางเลือกเชิงสร้างสรรค์ของเราโดยเจตนา ที่จะทำให้ตอนจบเป็นสิ่งที่แฟนๆ หลายคนสามารถตีความได้แตกต่างกันไป" Hamaguchi กล่าว "แม้ว่าการรับรู้ตอนจบของไตรภาคจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่จนกว่าจะถึงเวลานั้น เราก็หวังว่าแฟนๆ จะสนุกไปกับการพูดคุยร่วมกัน ซึ่งก็เป็นความบันเทิงรูปแบบหนึ่ง"
ตอนจบนี้ และการถกเถียงกันเกี่ยวกับตอนจบนั้นตัดกับธีมดั้งเดิมของ Final Fantasy VII อย่างลึกซึ้ง ซึ่ง Hamaguchi บรรยายว่าเป็น "ชีวิต"
"ปรัชญาพื้นฐานของโลกใน Final Fantasy VII ไม่ได้เกี่ยวกับผู้คน สัตว์ และพืชเท่านั้น แต่ดาวเคราะห์เองก็มีชีวิตเช่นกัน" Hamaguchi อธิบาย "ในโลกยุคปัจจุบัน มีปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมากมาย เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และอาจกล่าวได้ว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้อายุขัยของโลกสั้นลง ในฐานะมนุษย์ เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ร่วมกับโลก เราจึงต้องแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของโลก"
ในวิธีนี้ การย้อนกลับไปที่เกมภาคแรก "โลกแห่งความเป็นจริงและโลกของ Final Fantasy VII มีธีมร่วมกัน ซึ่งยังคงเข้าถึงผู้เล่นได้ ไม่ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปก็ตาม"
แต่บ่อยครั้งชีวิตก็มีความเศร้าโศกตามมา ซึ่งเป็นการตกผลึกของความรักที่เราไม่เคยได้แบ่งปันกับใคร หรือบางสิ่งที่เราสูญเสียไปเร็วเกินควร Rebirth สำรวจโลกผ่านความสัมพันธ์ต่อความเศร้ายิ่งกว่า Final Fantasy VII ภาคแรกและ Remake ซึ่งรวมอยู่ในตอนจบที่น่าตื่นตาและคำตอบต่างๆ ของตัวละครหลักในเกม
Hamaguchi กล่าวว่านี่เป็นเรื่องราวที่เขียนขึ้นโดยใช้แนวคิด "ทฤษฎี Gaia" ของ Hironobu Sakaguchi ผู้สร้างซีรีส์นี้เป็นหลัก
"ทฤษฎี Gaia กล่าวว่าดาวเคราะห์ (รวมถึงมนุษย์ สัตว์ และพืช) นั้นมีชีวิต นี่เป็นวิธีคิดที่เชื่อว่าแม้ว่าคนเราจะต้องตายไป พวกเขาก็ยังคงอยู่ในโลกนี้ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง และยังคงส่งผลกระทบต่อเรา และจะกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งในวันหนึ่ง" Hamaguchi อธิบาย "แน่นอน เนื่องจากคนตายไม่สามารถกลับมามีชีวิตอีกครั้งได้ จึงเป็นเรื่องยากที่จะใช้ธีมวัฏจักรชีวิตที่ดูเหมือนจะย้อนแย้งกันเข้าไปในเนื้อเรื่อง แต่เรื่องราวของ Rebirth นั้นได้ถ่ายทอดความรู้สึกของผู้ที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังพร้อมความปรารถนาของผู้ล่วงลับ (ไม่ใช่แค่ตัวละครอย่าง Cloud และเพื่อนร่วมทีมของเขาเท่านั้น แต่รวมถึงผู้เล่นเองด้วย) และความปรารถนาเหล่านี้ได้ดำเนินต่อไปในรูปแบบของการเกิดใหม่"
ในฐานะซีรีส์ที่เริ่มต้นจากความพยายามแบบนามธรรมในการทำให้เกม RPG สไตล์ PC เข้าถึงได้สำหรับผู้เล่นคอนโซล การรองรับการเล่นบน PC เมื่อเร็วๆ นี้สำหรับเกม Final Fantasy ภาคหลักๆ ถือเป็นโอกาสใหม่ของซีรีส์ที่จะแข่งขันโดยตรงบนแพลตฟอร์มที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับเกมซีรีส์นี้ในช่วงแรก ซึ่งถือว่าเป็นการเกิดใหม่ในตัวของมันเอง
การเล่นเกมคอนโซลบนคอมพิวเตอร์
แม้ว่า Final Fantasy จะมีประวัติศาสตร์อันยาวนานกับ PC ย้อนกลับไปยาวนานกว่าครึ่งหนึ่งของอายุซีรีส์นี้ แฟนๆ หลายคนยังคงรู้สึกว่าเกมซีรีส์นี้เป็นเกมบนคอนโซล แต่ Hamaguchi และทีมงานของเขาหวังว่าความรู้สึกนี้จะเปลี่ยนไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้เล่นหน้าใหม่
"แม้ว่า Final Fantasy จะเป็นซีรีส์ยอดนิยมในเกมแนว RPG แต่ผู้เล่น PC ที่อาจไม่เคยเล่นเกม Final Fantasy มาก่อนก็อาจไม่ทราบว่าแต่ละภาคนั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และเป็นประสบการณ์แยกกันต่างหาก" Hamaguchi อธิบาย "ดังนั้น Rebirth บน PC จึงเหมาะกับการเริ่มเล่นอย่างยิ่ง"
การเริ่มเล่นด้วยเกมที่สองในไตรภาคอาจทำให้แฟนๆ บางคนไม่มั่นใจ แต่ Hamaguchi กล่าวว่าทีมงานของเขาได้ทำงานอย่างหนักเพื่อให้เกมนี้เข้าถึงได้ ไม่ว่าผู้เล่นจะมีประสบการณ์กับซีรีส์นี้หรือเกม Final Fantasy VII ภาคก่อนๆ หรือไม่ก็ตาม
"แม้ว่าจะเป็นไตรภาค แต่เราก็พยายามออกแบบ Rebirth ให้เป็นประสบการณ์แบบแยกต่างหาก สำหรับผู้เล่นใหม่ด้วยเช่นกัน" Hamaguchi กล่าว อย่างไรก็ตาม เขายังได้กล่าวถึงเอดิชัน "Twin Pack" ซึ่งมีทั้ง Remake และ Rebirth ในชุดเดียวอีกด้วย "ผมอยากให้ผู้เล่นเล่นทั้งสองเกม และค้นพบเหตุผลที่ Final Fantasy VII ซึ่งเป็นเกมที่เปิดตัวมากว่า 20 ปีแล้ว สามารถชนะใจผู้เล่นมาได้มากมายจนถึงทุกวันนี้"
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ยังมี "การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่" เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมที่ผู้เล่นค้นพบเกมใหม่ๆ "เมื่อเกม Final Fantasy VII ภาคแรกเปิดตัว พวกเขาสามารถดึงดูดผู้เล่นมากมายในตลาดเกมได้ โดยการเปิดตัวเกมบนคอนโซลเครื่องเดียวอย่าง PlayStation" Hamaguchi กล่าว
"อย่างไรก็ตาม ในยุคนี้ มีผู้เล่นจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เล่นเกมจากสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย รวมถึงสมาร์ตโฟน คอนโซล พีซี และคลาวด์ ทำให้มีแนวโน้มที่ชัดเจนมากขึ้นว่าการเปิดเกมในสภาพแวดล้อมเดียวนั้นไม่เพียงพอที่จะดึงดูดผู้ใช้จำนวนมากได้" เขากล่าวต่อ "ด้วยเหตุนี้ จึงกลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้นที่นักพัฒนาหลายๆ รายจะนำเสนอเกมของพวกเขาบนแพลตฟอร์มหลายแพลตฟอร์ม และเราเชื่อว่าแนวโน้มจะเป็นแบบนี้ต่อไป"
การเปิดตัวบน PC ในครั้งนี้ยังถือเป็นโอกาสให้ Final Fantasy VII Rebirth ได้แสดงศักยภาพในด้านฮาร์ดแวร์ที่เกมเมอร์บน PC เข้าถึงได้ ซึ่งเหนือกว่าเวอร์ชัน PlayStation 5 ที่ก็น่าประทับใจอยู่แล้ว
"การเรนเดอร์แสงได้รับการปรับปรุงอย่างมาก" Hamaguchi กล่าว โดยอ้างอิงถึงข้อตำหนิหลักๆ ประการหนึ่งจากการเปิดตัว Rebirth บนคอนโซล ซึ่งการใช้แสงที่ชัดเจนของเกมนั้นทำใบหน้าของตัวละครดูแปลกประหลาดไปในบางครั้ง "สำหรับ PC สเปคสูงนั้น เรายังได้เตรียมโมเดล 3 มิติและความละเอียดพื้นผิวที่สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ซึ่งไม่สามารถประมวลผลได้บน PS5"
Hamaguchi กล่าวว่าทีมของเขายังได้เปิดใช้งานตัวเลือกกราฟิกยอดนิยม อย่าง DLSS และ VRR พร้อมกับการตั้งค่ากราฟิกเริ่มต้นสำหรับผู้เล่นที่ไม่ถนัดการตั้งค่าแบบซับซ้อน "การเลือกตัวเลือกค่าเริ่มต้นที่เหมาะสมกับสเปค PC ที่สุดจะทำให้คุณสามารถใช้การตั้งค่าสำหรับสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดได้อย่างง่ายดาย และแน่นอนว่ายังมีตัวเลือกที่ละเอียดมากขึ้นสำหรับผู้ใช้ PC กลุ่มหลักอีกด้วย" เขาอธิบาย
ความท้าทายที่โดดเด่นของการพอร์ตเกมลง PC คืออะไร มินิเกมที่มีมากมาย "อย่างที่รู้ๆ กันว่า Rebirth มีมินิเกมมากมาย" เขากล่าว "การรับมือกับงานที่จำเป็นจำนวนมากนั้นเป็นเรื่องท้าทาย อย่างการเปิดใช้งานการตั้งค่าปุ่มเฉพาะสำหรับมินิเกมบางเกม"
7th Heaven
แม้ว่าการเปิดตัว Final Fantasy VII บนคอนโซลจะเป็นสิ่งกระตุ้นที่ทำให้เกม RPG บนคอนโซลได้รับความนิยมมากขึ้นในฝั่งตะวันตก แต่ความนิยมบน PC นั้นส่วนใหญ่มาจากการรีมาสเตอร์ในปี 2012 แม้ว่าการรีมาสเตอร์ภาคเก่าๆ นี้จะไม่ได้มีขอบเขตกว้างขวางเท่ากับ Remake และ Rebirth เลยก็ตาม แต่เกมก็เน้นไปที่การทำให้เกมเข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับเกมเมอร์ PC (เกมภาคแรกๆ รันบน Windows เวอร์ชันใหม่ๆ ได้ยาก) ทั้งยังมีการปรับปรุงความสะดวกสบาย เช่น การบันทึกข้อมูลบนคลาวด์ เป้าหมายความสำเร็จ และบูสเตอร์เพิ่มพลังตัวละครเมื่อจำเป็น
oujทำให้ Final Fantasy VII เข้าถึงผู้เล่นใหม่จำนวนมากได้เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นเวลานานก่อนที่จะมีการประกาศเกมภาค Remake ด้วยซ้ำ แต่การรีมาสเตอร์ในช่วงแรกนี้ก็ได้รับแรงผลักดันจากชุมชนนักม็อดมากมายที่ตั้งหน้าตั้งตารอการเปิดตัว แฟนๆ ใช้เวลาหนึ่งทศวรรษในการปรับแต่ง ปรับสมดุล และปรับปรุง Final Fantasy VII ภาครีมาสเตอร์ในหลากหลายวิธี โดยส่วนใหญ่ม็อดยอดนิยมจะรวบรวมไว้ในบันเดิล 7th Heaven
จากข้อมูลในเว็บไซต์ 7th Heaven อนุญาตให้แฟนๆ "เปลี่ยนแปลงแทบทุกด้านของเกม รวมถึงแต่ไม่จำกัดเพียง: ดนตรี, ภาพยนตร์, เอฟเฟกต์เสียง, ตัวละคร/NPC/โมเดลศัตรู, เกมเพลย์, พื้นผิวการต่อสู้/โลก/พื้นที่บนโลก, ภาพเคลื่อนไหว, เอฟเฟกต์ทักษะ/เวทมนตร์, อินเทอร์เฟซผู้ใช้, บทสนทนา, การปรับแต่งและสูตรโกง และอื่นๆ อีกมากมาย" ชุมชนนักม็อดแสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทของแฟนๆ ในชุมชนเกม PC และช่วยรักษาโมเมนตัมของ Final Fantasy VII ไว้ได้เกือบหนึ่งทศวรรษระหว่างภาครีมาสเตอร์ครั้งแรกสำหรับ PC และการเปิดตัวภาค Remake บน PC ในปี 2021
แล้ว Final Fantasy VII Rebirth จะรองรับม็อดได้แบบภาครีมาสเตอร์ปี 2012 หรือไม่ "แม้ว่าทีมงานจะไม่มีแผนในการรองรับม็อดในเกมอย่างเป็นทางการ" Hamaguchi กล่าว "แต่เราก็เคารพความคิดสร้างสรรค์ของชุมชนนักม็อด และยินดีให้พวกเขาสร้างผลงาน แต่เราขอให้นักม็อดไม่สร้างหรือติดตั้งเนื้อหาที่ละเมิดผู้อื่นหรือไม่เหมาะสม"
แม้ว่าจะไม่มีแผนในการเพิ่มฟีเจอร์เพิ่มเติมสำหรับการเปิดตัวครั้งนี้ ซึ่งต่างจากการเปิดตัว Final Fantasy XVI บน PC เมื่อต้นปี ซึ่งเพิ่มฟีเจอร์และการปรับปรุงต่างๆ ที่ในที่สุดก็ตามไปที่เวอร์ชันคอนโซลผ่านแพตช์ แต่ทีมงานของ Hamaguchi (กลุ่มเดียวกับที่พัฒนาเกมภาคหลักบน PlayStation 5) ก็ต้องห้ามใจไม่เพิ่มเนื้อหาใหม่เข้ามา
"เราอยากที่จะเพิ่มเรื่องราวแบบเป็นตอนๆ เป็น DLC ใหม่ให้กับเวอร์ชัน PC" เขายอมรับ แต่ด้วยทรัพยากรที่มีจำกัด Hamaguchi จึงตัดสินใจว่าการทำเกมสุดท้ายของโปรเจ็กต์ให้เสร็จโดยเร็วที่สุดคือ "สิ่งที่สำคัญที่สุด"
"อย่างไรก็ตาม หากหลังจากการเปิดตัวมีคำขอจากผู้เล่นเข้ามามากมายในบางเรื่อง เราก็จะพิจารณาเรื่องนั้น"
Final Fantasy VII ที่ทำมาใหม่
เมื่อมองย้อนกลับไปถึงการเปิดตัวครั้งแรก Final Fantasy VII ถือเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงความปรารถนาอันยาวนานของ Square Enix ที่ต้องการรวมเกม RPG บนคอนโซลและบน PC ไว้ในกลุ่มเดียวกัน นี่เป็นเป้าหมายที่ดี เนื่องจาก Final Fantasy และ PC มีความเกี่ยวโยงกันตั้งแต่เริ่มต้น และถือเป็นการอ้างอิงถึงความทะเยอทะยานของ Hironobu Sakaguchi ที่สมบูรณ์แบบ
"เกม Final Fantasy มักมีรูปแบบเกมที่เน้นเนื้อเรื่องเป็นหลัก ซึ่งเน้นประสบการณ์การเล่าเรื่อง แต่ Rebirth ก็ทำแบบเดียวกัน พร้อมทั้งใช้แผนที่โลกอันกว้างขวางได้เป็นอย่างดี ทำให้ผู้เล่นมีอิสระในการเลือกการผจญภัยของตัวเอง" Hamaguchi กล่าว "เราเชื่อว่าแฟนรุ่นเก่าจะได้สัมผัสประสบการณ์เกม Final Fantasy แบบใหม่ ในขณะที่แฟนหน้าใหม่ก็จะเพลินไปกับประสบการณ์ Final Fantasy ที่ใช้สไตล์ที่มีอิสระมากขึ้นซึ่งเป็นที่นิยมในยุคปัจจุบัน"
และในตอนนี้ เมื่อ Final Fantasy VII Rebirth เปิดตัวบน PC ทีมงานของ Hamaguchi ก็เสร็จงานกับเกมนี้ในที่สุด และพวกเขาจะได้ทำงานอย่างเต็มที่กับเกมภาคต่อ ซึ่งเป็นภาคต่อที่ไม่เพียงแต่เขาจะสัญญาว่าจะเทียบเท่ากับ Rebirth เท่านั้น แต่จะเป็นเกมที่เหนือกว่านั้นโดยสิ้นเชิง เช่นเดียวกับที่ภาค Rebirth เหนือกว่า Remake
"ทีมพัฒนาของเราทำงานเต็มที่" Hamaguchi กล่าว "และคุณจะสามารถเดินทางรอบแผนที่โลกได้อย่างอิสระบน[ยาน] Highwind ในภาคที่สามของไตรภาคนี้ ขอขอบคุณที่อดทนรอนะครับ และรอเล่นภาคต่อไปด้วยนะครับ"